ประกันอุบัติเหตุ vs ประกันสุขภาพ เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับตัวเรา

ประกันอุบัติเหตุ
ประกันอุบัติเหตุ

hilight

  • ประกันอุบัติเหตุ (PA) คุ้มครองเฉพาะกรณี “อุบัติเหตุ” เช่น หกล้ม รถชน โดนของหล่นใส่ เบี้ยถูกมาก เริ่มต้นแค่หลักร้อย!
  • ประกันสุขภาพ คุ้มครองครบ ทั้ง “อุบัติเหตุ + เจ็บป่วย” เช่น ไข้หวัด ผ่าตัดโรคไส้ติ่ง โรคร้ายแรง เบี้ยสูงกว่าแต่คุ้มครองรอบด้าน

ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีประกันสักฉบับไว้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายคนยังสับสนว่า ควรเลือก “ประกันอุบัติเหตุ (PA)” หรือ “ประกันสุขภาพ” ดี? กกเพราะทั้งสองแบบต่างก็เกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาลเหมือนกัน ซึ่งนอกจากชื่อที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนแล้ว ประกันทั้งสองประเภทนี้ก็ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของความคุ้มครองและวัตถุประสงค์ในการทำประกัน 

บทความนี้จะพาทุกคนมาเจาะลึกทุกแง่มุม เปรียบเทียบแบบตรงไปตรงมา พร้อมคำแนะนำว่าประกันแบบไหนเหมาะกับใคร เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด 

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident Insurance: PA) คืออะไร? 
ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า PA คือ ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การรักษาพยาบาลเล็กน้อย ไปจนถึงกรณีรุนแรง เช่น เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร 
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันจะเข้ามาช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาล รวมถึงจ่ายเงินชดเชยตามขอบเขตความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 
ความคุ้มครองพื้นฐานของประกันอุบัติเหตุ PA โดยทั่วไป ประกันอุบัติเหตุจะให้ความคุ้มครองหลัก ๆ ดังนี้: 
  • ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ  
  • เงินชดเชยกรณีทุพพลภาพชั่วคราวหรือถาวร 
  • เงินชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ สายตา การพูด การได้ยิน 
  • เงินชดเชยกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 
  • เงินชดเชยรายได้ระหว่างพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (แล้วแต่แผน) 
 จุดเด่น: เบี้ยประกันถูกมาก — เริ่มต้นเพียง หลักร้อยบาทต่อปี 
ประกันสุขภาพ คือการประกันภัยที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ โดยบริษัทประกันจะเป็นผู้ชดเชยค่าใช้จ่ายตามความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์แบบของประกันสุขภาพยอดนิยม 
ความคุ้มครองผู้ป่วยใน (IPD) ให้ความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยจะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษา เช่น 
  • ค่าห้องพักและค่าอาหาร 
  • ค่าปรึกษาแพทย์ 
  • ค่ายาและเวชภัณฑ์ 
  • ค่ารถพยาบาล 
  • ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดและหัตถการต่าง ๆ เหมาะสำหรับกรณีเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บที่ต้องเข้ารักษาตัวหลายวัน 
2.ความคุ้มครองผู้ป่วยนอก (OPD) คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เช่น 
  • การพบแพทย์ทั่วไป 
  • การรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ ท้องเสีย 
  • การรับยาหรือฉีดยาในคลินิกหรือโรงพยาบาล 
  • ไม่ต้องพักรักษาตัวข้ามคืน เหมาะสำหรับผู้ที่พบแพทย์บ่อย หรือมีโรคประจำตัวที่ต้องติดตามอาการ 
3.ความคุ้มครองเพิ่มเติม / ความคุ้มครองพิเศษ ขึ้นอยู่กับสัญญาแนบท้ายหรือความคุ้มครองเฉพาะทาง เช่น 
  • ค่าคลอดบุตร 
  • ค่ารักษาทางทันตกรรม (ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน ฯลฯ) 
  • ค่าดูแลโดยพยาบาลพิเศษ ทั้งในโรงพยาบาลหรือที่บ้าน 
  • ค่ารักษาเฉพาะทางหรือโรคร้ายแรง ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 
จุดเด่น: คุ้มครอง ทุกสาเหตุที่เกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งจากอุบัติเหตุและโรค 
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประกันอุบัติเหตุ vs ประกันสุขภาพ 
 ประกันอุบัติเหตุ (PA) ประกันสุขภาพ 
ความคุ้มครองหลัก อุบัติเหตุเท่านั้น โรคทั่วไป + โรคร้ายแรง + อุบัติเหตุ 
คุ้มครองค่ารักษา เฉพาะจากอุบัติเหตุ ครอบคลุมทั้งโรคและอุบัติเหตุ 
เงินชดเชยรายได้ มีในบางแผน มี (ซื้อเพิ่มเติมได้) 
คุ้มครองกรณีเสียชีวิต เฉพาะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่ครอบคลุม (ต้องซื้อประกันชีวิตแยก) 
เบี้ยประกัน ถูกมาก เริ่มต้นหลักร้อย/ปี สูงกว่า ขึ้นอยู่กับแผนและอายุ 
ความยืดหยุ่นในการเลือกแผน สูง – ปรับวงเงินได้ตามต้องการ ปานกลาง – มักกำหนดเป็นแพ็กเกจ 
ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ไม่มี (เคลมได้ทันทีหลังอุบัติเหตุ) มี (รอคอย 30–180 วัน ขึ้นกับโรค) 
ตรวจสุรขภาพไหม ไม่ต้อง ต้อง 
เหมาะกับใคร คนที่ใช้ชีวิตเสี่ยงอุบัติเหตุ เดินทางบ่อย คนทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงเรื่องค่ารักษาพยาบาล 
แล้วเราควรเลือกประกันแบบไหนดี? ระหว่างประกันอุบัติเหตุ vs ประกันสุขภาพ 

คำคอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีคปัจจัยแบบไหนในการเลือกทำประกัน เช่น 

  • เน้นบี้ยประกันแบบจับต้องได้ จ่ายง่าย แต่ได้วงเงินค่ารักษา หรือค่าชดเชยที่สูง 
  • การใช้ชีวิตประจำค่อนข้างเสี่ยง เช่น ขับรถไปทำงานที่ต้องผ่านถนนพระราม 2  ขี่มอเตอร์ไซค์ หรือทำงานที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ 
  • อาจต้องการความความคุ้มครองแค่ช่วงใด ช่วงหนึ่งเป็นพิเศษ เน้นความยืดหยุ่น เนื่องด้วยประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลมีให้เลือกทำทั้งแผนแบบรายเดือน และรายปี 
✅ แนะนำให้เลือก “ประกันอุบัติเหตุ (PA)”  

หรือ 

  • ต้องการความคุ้มครองแบบรอบด้าน ทั้งโรคและอุบัติเหตุ 
  • ชอบอิสระที่จะเลือกเข้ารักษาในสถานพยาบาลไหนก็ได้ โดยเฉพาะเอกชน 
  • มีงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยประกันระดับหนึ่ง 
✅ แนะนำให้เลือก “ประกันสุขภาพ” 
สำหรับใครที่มองแล้วว่าสะดวกทั้ง 2 ทางก็ทำไปเลยทั้งคู่เช่น มีประกันสุขภาพไว้รับมือโรค และเสริมประกันอุบัติเหตุไว้รองรับเหตุฉุกเฉินจากอุบัติเหตุ 
เอาจริงๆ ไม่มีแบบไหน “ดีกว่า” แบบไหนอย่างตายตัว ขึ้นอยู่กับ ไลฟ์สไตล์ ความเสี่ยง และงบประมาณของ แต่ภ้ายังไม่มั่นใจว่าแผนไหนเหมาะกับตัวเอง ลองปรึกษาตัวแทนประกันที่ไว้ใจได้ หรือใช้เครื่องมือเปรียบเทียบแผนประกันออนไลน์ก็ช่วยได้มากเลย อาทิเช่น เว็บไซต์ noon.in.th ขอพื้อนที่ขายของหน่อยนะ เพราะที่ noon เรามีแบบประกันให้เลือกมากวว่า 500 แบบ จากหลากหลายเจ้า แผนไหนดี แบบไหนโดน ให้ noon ช่วยดูให้นะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.tgia.org/insurance/accident