ในยุคที่การทำงานเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ปัญหาสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในบรรดามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายที่ต้องรับมือกับความกดดันทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว และที่สำคัญเลยค่ายา ค่ารักษาราคาแพงมาก อาทิเช่น
- ค่าปรึกษาจิตแพทย์: โรงพยาบาลเอกชน: 1,500-3,000 บาท/ครั้ง
- ค่ายารักษาโรค: 500-2,000 บาท/เดือน
รวมๆ อาจต้องจ่ายอย่างต่ำๆ 5,000 บาทต่อเดือนได้ หลายๆ คนเลยต้องการที่จะทำประกันเพื่อแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ แต่ในประเทศไทยประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับสุขภาพจิตนั้นมีน้อยมากๆ เพราะเป็นเรื่องที่ยังใหม่มากๆ สำหรับสังคมไทย
ทำไมประกันสุขภาพจิตถึงยังไม่แพร่หลายในไทย?
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ประกันสุขภาพจิตยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยมีหลายประการ ได้แก่
- ทัศนคติของสังคม: สังคมไทยยังคงมีทัศนคติเชิงลบต่อปัญหาสุขภาพจิต ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่กล้าเปิดเผยหรือเข้ารับการรักษา ส่งผลให้บริษัทประกันไม่เห็นความต้องการที่ชัดเจนของตลาด
- ข้อมูลทางสถิติ: การเก็บข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ ทำให้บริษัทประกันยากที่จะประเมินความเสี่ยงและกำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม
- ความซับซ้อนของการวินิจฉัย: การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน อาจมีการเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัย ทำให้ยากต่อการพิจารณารับประกัน
- นโยบายของบริษัทประกัน: บริษัทประกันส่วนใหญ่ยังคงเน้นความคุ้มครองโรคทางกายมากกว่าโรคทางจิตเวช เนื่องจากเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายกว่าและมีข้อมูลรองรับมากกว่า
ประกันแบบไหนที่พอจะคุ้มครองสุขภาพจิตได้บ้าง?
ถึงแม้ประกันสุขภาพจิตโดยตรงจะหายาก แต่ก็มีประกันบางประเภทที่อาจให้ความคุ้มครองทางอ้อม หรือมีเงื่อนไขบางอย่างที่ครอบคลุมถึงโรคทางจิตเวชได้บ้าง เช่น
- ประกันกลุ่มของบริษัท: บางบริษัทอาจมีสวัสดิการประกันกลุ่มที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาล รวมถึงโรคทางจิตเวชบางประเภท ลองตรวจสอบรายละเอียดกับฝ่ายบุคคลของบริษัทคุณ
- ประกันสุขภาพแบบผู้ป่วยใน (IPD): ประกันสุขภาพบางแผนอาจให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับโรคทางจิตเวชที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ แต่ต้องเป็นกรณีที่มีความรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลเท่านั้น
- ประกันชีวิตพ่วงสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ: ในบางกรมธรรม์ประกันชีวิต อาจมีสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพที่สามารถให้ความคุ้มครองโรคทางจิตเวชได้ แต่เงื่อนไขความคุ้มครองอาจแตกต่างกันไปในแต่ละกรมธรรม์ และมักจะจำกัดอยู่ที่โรคทางจิตเวชที่ระบุไว้ชัดเจนเท่านั้น
ตัวอย่างประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองเรื่องสุขภาพจิต
1.สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ Mind Strength จาก FWD
มีความคุ้มครองดังนี้:
- ดูแลสุขภาพทางใจเชิงป้องกัน: มีบริการประเมินระดับสุขภาพทางใจพร้อมรับคำแนะนำจากนักจิตวิทยาผ่านแอปพลิเคชัน e-Triage Tool อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และเข้าร่วมการฝึกความแข็งแกร่งทางใจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Mind Strength Learning Center หากผลการประเมินอยู่ในระดับต่ำ-ปานกลาง สามารถปรึกษาออนไลน์กับนักจิตวิทยาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งผ่านระบบข้อความโต้ตอบ หรือวิดีโอคอลสูงสุด 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์
- ดูแลครอบคลุมสุขภาพทางใจทั้ง IPD และ OPD: ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลด้านจิตเวชทั้งแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) โดยมีค่าใช้จ่ายร่วม 10% สำหรับผู้ป่วยนอก โดยบริษัทจะชดเชย 90% ของค่ารักษาพยาบาลแต่ไม่เกินผลประโยชน์สูงสุดที่กำหนด หากผลการประเมินสุขภาพทางใจอยู่ในระดับสูง-รุนแรง สามารถรับการปรึกษาจากจิตแพทย์ ณ โรงพยาบาลคู่สัญญาพร้อมดูแลค่ารักษาพยาบาลด้านจิตเวชครบทั้ง IPD และ OPD โดยไม่ต้องสำรองจ่ายกรณี IPD ในโรงพยาบาลเครือข่าย
- ดูแลพิเศษเมื่อ 4 โรคร้ายแรงทางกายส่งผลต่อสุขภาพทางใจ: มอบผลประโยชน์เพิ่มเติมกรณีป่วยทางจิตเวชภายใน 365 วัน นับจากได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วย 4 โรคร้ายแรง ได้แก่ โรคมะเร็งระยะลุกลาม, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน, และโรคไตวายเรื้อรัง
- ดูแลการรักษาต่อเนื่อง: ครอบคลุมค่ารักษาต่อเนื่องแบบผู้ป่วยนอกหลังการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ภายใน 60 วัน หลังออกจากโรงพยาบาล ทั้งการรักษาโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิก
- ไม่ต้องซื้อกรมธรรม์ฉบับใหม่: สามารถแนบ Mind Strength ไปกับแบบประกัน FWD พรีเชียส แคร์ ที่มีอยู่ได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.fwd.co.th/th
2.สัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus จาก เมืองไทยประกันชีวิต
มีความคุ้มครองดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยใน (IPD): เหมาจ่ายค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล หรือค่าห้องเดี่ยวพิเศษ 10,000 – 25,000 บาทต่อวัน รวมถึงค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) เหมาจ่ายตามจริงสูงสุด 365 วัน
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยนอก (OPD): มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยนอกตามแผนที่เลือก (ยกเว้นแผน 20 ล้านบาทที่ไม่คุ้มครอง OPD )
- เข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย: ครอบคลุมการรักษามะเร็งแบบออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจง (Targeted Therapy), เคมีบำบัด, การวินิจฉัยโรคแบบ MRI และ CT Scan
- ค่ารักษาทางจิตเวชในฐานะผู้ป่วยใน: แผน 75 ล้านบาท คุ้มครอง 75,000 บาทต่อโรค สูงสุด 300,000 บาทตลอดชีวิต และแผน 100 ล้านบาท คุ้มครอง 100,000 บาทต่อโรค สูงสุด 400,000 บาทตลอดชีวิต

