บ้านคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของใครหลายคน การมีบ้านเป็นของตัวเองจึงมาพร้อมกับความรับผิดชอบและภาระค่าใช้จ่ายมากมายที่ต้องดูแล และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการคุ้มครองบ้านและคนที่คุณรักให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ด้วยการทำประกันภัย ซึ่งมีหลากหลายประเภทให้เลือก โดยเราจะมาเจาะลึก 3 ประกันสำคัญที่คนมีบ้านควรรู้จัก เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบ้านของเรา
1. ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน (Homeowner Insurance)
“ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน” ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองเจ้าของอาคารประเภทที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว สำนักงานในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม โดยให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม 5 หมวดหลัก ดังนี้
- หมวดที่ 1: ความคุ้มครองต่ออาคาร คุ้มครองความเสียหายต่อโครงสร้างอาคารจากภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ การระเบิด การถูกชนจากยานพาหนะ รวมถึง การชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือความพยายามลักทรัพย์ที่ใช้กำลังรุนแรง ซึ่งครอบคลุมทั้งตัวอาคารและอุปกรณ์ส่วนควบ เช่น แท้งก์น้ำ หรือท่อน้ำ
- หมวดที่ 2: ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินในอาคาร คุ้มครองทรัพย์สินภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆ จากภัยที่ระบุไว้เช่นเดียวกับหมวดความคุ้มครองต่ออาคาร ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการถูกลักทรัพย์
- หมวดที่ 3: ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าที่พักอาศัยชั่วคราวและการสูญเสียค่าเช่า ในกรณีที่บ้านได้รับความเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ประกันจะช่วยจ่ายค่าเช่าที่พักชั่วคราว หรือชดเชยค่าเช่าที่คุณต้องสูญเสียไปจนกว่าบ้านจะได้รับการซ่อมแซม
- หมวดที่ 4: คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก คุ้มครองความเสียหายที่เราอาจก่อให้เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บทางร่างกาย (เช่น บุคคลภายนอกเดินชนเสาบ้านคุณจนเสียชีวิต) หรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน (เช่น รถยนต์ของเพื่อนบ้านถูกเสาบ้านคุณล้มทับ) บริษัทประกันจะเข้ามาช่วยชดเชยค่าเสียหายแทนคุณ
- หมวดที่ 5: ความคุ้มครองสำหรับเงินชดเชยการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตทันที หรือได้รับบาดเจ็บจากภัยที่คุ้มครอง และเสียชีวิตภายใน 180 วันขณะที่อยู่ในอาคารที่ทำประกันไว้ บริษัทประกันจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้
2. ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย (Fire Insurance for Residential)
ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยให้ความคุ้มครองที่คล้ายคลึงกับประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน แต่เน้นไปที่ภัยที่เกี่ยวข้องกับไฟและความเสียหายที่ต่อเนื่องจากภัยธรรมชาติเป็นหลัก โดยคุ้มครองทั้งสิ่งปลูกสร้าง (ไม่รวมฐานราก) เช่น บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม รวมถึงทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า และทรัพย์สินอื่นๆ ที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย
ภัยที่คุ้มครองได้แก่:
- ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด
- ภัยจากการเฉี่ยวชนของยานพาหนะ หรือสัตว์พาหนะ
- ภัยจากอากาศยาน หรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน
- ภัยเนื่องจากน้ำ ที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น การรั่วไหลหรือล้นของน้ำจากท่อน้ำ ถังน้ำ รวมถึงน้ำฝนที่ไหลเข้าภายในอาคารจากการเสียหายของหลังคา หน้าต่าง
- ภัยจากลมพายุ น้ำท่วม (รวมถึงน้ำท่วมจากน้ำป่า และโคลนถล่ม)
- ภัยจากแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นใต้น้ำ หรือสึนามิ
- ภัยจากลูกเห็บ
นอกจากนี้ ยังมีการขยายความคุ้มครองค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราว ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายจากภัยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์จนไม่สามารถอยู่อาศัยได้
3. ประกัน MRTA หรือประกันคุ้มครองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Reduced Term Assurance)
ประกัน MRTA ย่อมาจาก Mortgage Reduced Term Assurance หรือที่รู้จักกันในนาม ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ แม้จะไม่ได้คุ้มครองความเสียหายของบ้านโดยตรง แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้กู้ซื้อบ้าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ คุ้มครองภาระหนี้สินจากบ้านหรือคอนโด ที่อาจตกถึงคนข้างหลังในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิต พิการ หรือทุพพลภาพถาวร
ข้อดีของประกัน MRTA:
- ลดภาระหนี้สินที่อาจตกถึงคนที่คุณรัก: หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน บริษัทประกันจะเข้ามารับผิดชอบค่าผ่อนบ้านแทน ช่วยลดภาระหนักอึ้งของครอบครัว
- ได้ส่วนลดดอกเบี้ยเงินกู้: ธนาคารหลายแห่งมักเสนอส่วนลดดอกเบี้ยสินเชื่อให้กับผู้ที่ทำประกัน MRTA เพื่อจูงใจ
- ระยะเวลาคุ้มครองยืดหยุ่น: สามารถเลือกระยะเวลาคุ้มครองให้เหมาะสมกับความต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องเท่ากับระยะเวลาผ่อนบ้าน
- ผ่อนชำระได้: สามารถขออนุมัติวงเงินกู้เพิ่มเติมสำหรับค่าเบี้ยประกัน MRTA และผ่อนชำระรวมไปกับค่างวดบ้านได้
- ลดหย่อนภาษีได้: ประกัน MRTA ที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
ข้อควรพิจารณาของประกัน MRTA:
- เบี้ยประกันเป็นแบบจ่ายทิ้ง: ไม่มีเงินคืนเมื่ออยู่จนครบสัญญา
- ดอกเบี้ยของเบี้ยประกันอาจสูง: หากเลือกผ่อนชำระเบี้ยประกันพร้อมค่างวดบ้าน อัตราดอกเบี้ยสำหรับเบี้ยประกันอาจสูง ซึ่งต้องพิจารณาความคุ้มค่า
- จ่ายเท่าเดิม แต่ทุนประกันลดลงเรื่อยๆ: ทุนคุ้มครองของประกัน MRTA จะลดลงตามมูลหนี้สินเชื่อของที่อยู่อาศัย แต่เบี้ยประกันที่เราต้องจ่ายนั้นกลับไม่ลดตาม ทำให้บางคนมองว่าไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร
- ยุ่งยากหากอยากเวนคืนประกัน: การยกเลิกกรมธรรม์สามารถทำได้ แต่ธนาคารจะนำเงินที่เวนคืนได้ไปหักกับเงินต้นสินเชื่อ และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจะถูกคำนวณใหม่เนื่องจากไม่มีส่วนลดสำหรับผู้ทำประกัน MRTA แล้ว
สิ่งสำคัญคือ การทำประกัน MRTA เป็นไปโดย สมัครใจ ธนาคารไม่มีสิทธิบังคับ หรือใช้เป็นเงื่อนไขในการอนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความจำเป็นของคุณเป็นหลัก
เปรียบเทียบแบบประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน vs ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย vs ประกัน MRTA

การทำความเข้าใจประกันภัยแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของคุณมากที่สุด เพื่อให้บ้านของคุณเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจให้กับคุณและครอบครัวในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.tgia.org/insurance/fire